บทความ
1.อย่าตัดสินคนจากหน้าตา และรูปลักษณ์ภายนอก
แน่นอน ไม่มีใครเลือกเกิดได้ เวลาสเกซ เกิดมาพร้อมอาการทางการแพทย์ที่หาผู้ป่วยยากยิ่ง กระทั่งปัจจุบัน ในโลกมีผู้ป่วยจากโรคนี้ที่พบแล้วเพียง 3 ราย
อาการของเธอคือ เธอไม่มี"เนื้อเยื่อไขมัน"ภายใต้ผิวหนัง และไม่มีกล้ามเนื้อใดๆบนร่างกาย ทำให้ไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ และไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ ฉะนั้น ไขมันในร่างกายของเธอจึงเป็นศูนย์ และมีน้ำหนักเพียง 60 ปอนด์
ในคอมเมนต์ในยูทูบ ผู้ใช้บางรายเรียกเธอว่า"มัน" และบอกให้เธอ"ไปฆ่าตัวตายเสีย" แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอท้อใจแม้แต่น้อย และทำให้เธอตั้งจุดมุ่งหมายไว้ 4 ประการ 1.เป็นนักพูดเพื่อกระตุ้นให้กำลังใจผู้คน 2.เขียนหนังสือ 3. เรียนจบมหาวิทยาลัย และ 4.สร้างครอบครัวและหางานทำด้วยลำแข้งของตนเอง
ปัจจุบันในวัย 23 ปี เธอเป็นนักพูดเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้คนมานาน 7 ปีแล้ว รวมถึงเปิดเวิร์คช็อปเพื่อให้คนรู้จักที่จะสร้างความโดดเด่นให้ออกมาจากภายใน รวมถึงการรับมือจากการข่มเหงรังแกและการเอาชนะอุปสรรค? นอกจากนั้น เธอยังเรียนปริญญาโทในสาขาการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส สเตท และเป็นเจ้าของหนังสือ "Lizzie Beautiful" ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2010 ขณะที่หนังสือเล่มที่สองของเธอ "Be Yourself, Be Beautiful" เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
เวลาสเกซ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวของซีเอ็นเอ็นว่า "การถูกจ้องมอง"เป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการในขณะนี้เมื่อต้องออกสู่ที่สาธาณะ แต่เธอคิดว่า เธอเดินทางไปถึงจุดจุดหนึ่ง ที่คิดได้ว่า แทนที่จะนั่งเฉยๆและปล่อยให้คนอื่นคอยตัดสิน เธอเริ่มต้องการเดินออกไปหาคนเหล่านั้น และแนะนำตัวว่าเธอคือใคร พร้อมเสนอนามบัตรให้ พร้อมทั้งกล่าวว่า "บางทีคุณควรหยุดจ้องมองฉัน และเริ่มที่จะเรียนรู้"
เวลาสเกซ เกิดที่เมืองซานแอนโตนิโอในรัฐเท็กซัส เธอเกิดก่อนกำหนด 4 สัปดาห์ ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 2 ปอนด์ 10 ออนซ์? แม่ของเธอเคยกล่าวว่า ยังคิดไม่ออกว่าลูกสาวของเธอจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เนื่องจากแพทย์ได้แจ้งว่า เด็กคนนี้อาจไม่สามารถพูดหรือเดินได้ หรือปล่อยให้ใช้ชีวิตตามลำพังได้
อย่างไรก็ดี เธอเติบโตขึ้นตามปกติ ทั้งอวัยวะภายในและภายนอก แม้ร่างกายจะผอมบางมากจนน่ากลัว และพบว่าไม่มีชั้นไขมันภายใต้ผิวหนังซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บสารอาหาร ทำให้เธอต้องทานอาหารทุกๆ 15-20 นาที เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพอที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้? ตาข้างหนึ่งของเธอเริ่มพร่าเลือนเมื่ออายุได้ 4 ขวบ และบอดในที่สุด ทำให้ปัจจุบันเธอต้องมองสิ่งต่างๆด้วยตาเพียงข้างเดียว
เธอเขียนถึงความสำเร็จและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตลงในโพสต์บล็อคส่วนตัวโดยกล่าวว่าเธอเรียนรู้ที่จะอ้าแขนรับสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากคนอื่น แทนที่จะคอยมานั่งตอบโต้ในสิ่งที่ทำให้ตนเองรู้สึกแย่ เธอตั้งเป้าหมายให้ตนเองและผลักดันไปจนถึงความสำเร็จ ถึงแม้จะมีคนที่เกลียดอยู่บ้างก็ตาม นอกจากนั้น เธอยังเปิดช่องยูทูบ ที่สอนเทคนิคต่างๆ อาทิวิธีการรับมือกับการดูถูกดูแคลน การทำผม และการคิดบวก แม้บางครั้งจะมีคอมเมนต์ที่แสดงความเห็นในเชิงลบ เธอกล่าวว่าเธออ่านทุกคอมเมนต์เพราะมองว่านั่นก็เป็นเพียงแค่"คำพูด"
เธอกล่าวว่าเธอดีใจที่เธอดูไม่เหมือนเหล่าเซเล็บที่มีหน้าตาสวยงาม ซึ่งดูเหมือนๆกันไปหมด ที่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ
เวลาสเกซ กล่าวว่า เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอต้องรู้สึกเจ็บปวด แต่คำตัดสินของคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเป็นเช่นนั้น และเธอจะไม่ยอมให้คำพูดเหล่านั้นมากำหนดความเป็นตนเอง และจะไม่ยอมจมไปกับความเสียใจเด็ดขาด แต่จะ"แก้แค้น"ผ่านการสร้างความสำเร็จให้ตนเอง และความมุมานะ
"และในสงครามระหว่าง คลิป?ผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก? และ ?ตัวฉันเอง? ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้ชนะ" เวลาสเกซกล่าวปิดท้าย
2.อย่ามองคนแค่เปลือกนอก
อย่ามองคนแค่เปลือกนอก
เพราะไม่สามารถบอก " ธาตุแท้ "อะไรได้
" ให้มองที่ข้างใน มองที่ใจ มองที่การกระทำจะดีกว่า "
" อย่าตัดสินใครด้วยรูปลักษณ์ภายนอก
หากคุณยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนนั้นๆ "
มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว
เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน
แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง
วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน
เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา
เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่
"เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย
ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว
ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?" เด็กบอกอย่างสุภาพ
"อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี
แล้วผิวปากเรียกสุนัขทั้งเจ็ดออกมา
เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น
"ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม
เจ้าของร้านตอบว่า "อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว
เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา
วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้"
สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา
ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน
ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา
หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย
ท่าทางจะชอบเขามาก เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา
ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?"
"ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ
เด็กชายนิ่งอึ้งไปก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ
เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น
"ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้" เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ
เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ!! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ
ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย"
เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า
"ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้"
"ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน
และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม"
เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า "คุณอาดูอะไรนี่สิครับ"
ว่า แล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น
เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบเช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข
แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้
"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ"
เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา
เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า
"ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ
แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้
เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ"
เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุด ตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ
พลางกล่าวขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป
เขาบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้
และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก
3.กับ..รูปลักษณ์ภายนอก แล้วมันบอกอะไรเรา
ารปรับเปลี่ยน รูป ลักษณ์ ภายนอก.. ก็แค่ทำให้ผู้คน "หลงใหล" แต่ความดีภายใน ต่างหากที่.. จะทำให้ ใครต่อใคร "หลงรัก"
แว้บแรกที่เห็น… ผู้คนในสังคม คนแปลกหน้า เสื้อผ้า การแต่งกาย ผู้ชาย ผู้หญิง และเพศทางเลือก สิ่งแรกที่คนเราตัดสินเขา คือ… รูปลักษณ์ภายนอก
ฉันเห็นคุณอย่างที่ฉันเห็น… แต่ฉันไม่รู้จักคุณ
จริงอยู่ เราคิดว่าเราสื่อสารกันมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็คุยกันน้อยลง
จริงอยู่ ในโซเชียล เรามีเพื่อน เรารู้จักผู้คนมากขึ้น แต่เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกันน้อยลง โดยเฉพาะยุคนี้ ที่การสื่อสารทาง โซเชียล มีเดีย กำลัง พี้ค สูงสุด
ปกติเวลาในวันทำงาน ผมจะแต่งกาย ปรับเปลี่ยน รูป ลักษณ์ ภายนอก โดย สวมรองเท้าหนัง กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตแขนยาว ผูกเนคไทค์ สวมนาฬิกาข้อมือ จะมีปากกาเหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ และสวมแว่นสายตา ยังไม่รวมแท็ปเล็ต และ กระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ที่ต้องติดตัวไปด้วย นี่คือ รูป ลักษณ์ ภายนอก ที่แสดงออกทางสังคม
คุณลองนึกภาพดูน่ะครับ ถ้าคุณเป็นสามัญชนทั่วไป เมื่อเห็นผม โดยที่คุณไม่รู้จักผมมาก่อน ผมว่าในความคิดแว้บแรก เมื่อเห็น คุณก็คงคิดว่า คนนี้ ! ไม่น่าจะเป็นคนร้าย หรือมิจฉาชีพ ใช่มั้ย ถ้าคุณคิดแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ครับ
ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง !
เย็นวันหนึ่ง หลังเลิกงาน ก่อนเข้าที่พัก ผมแวะปั้มที่เคยแวะเป็นประจำ จอดรถ ทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว ก็ว่าจะเดินไปซื้อขนมปัง และกาแฟสำเร็จรูป เอาไว้สำหรับ มื้อเช้าวันพรุ่งนี้
เห็นซุ้มกล้วยทอด ที่กำลังทอดขายอยู่ โชยกลิ่นมาน่ากิน ก็เลยสั่งใส่ถุงมาหนึ่งถุง จากนั้นก็เดินต่อเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ
ผมเข้าไปที่ชั้นวางสินค้า มือขวาที่ยังว่างอยู่หยิบขนมปังมาหนึ่งแถว แล้วก็เดินไปที่ชั้นวางกาแฟสำเร็จรูป มือซ้ายที่ถือถุงกล้วยทอด ก็หยิบกาแฟสำเร็จรูปมาอีกหนึ่งถุง จากนั้นก็เดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์คิดเงิน
ผมยื่นถุงขนมปังวางบนเค้าเตอร์ พอดีกับมีโทรศัพท์เข้ามา ก็เลยรีบรับโทรศัพท์ไปพร้อมกัน ในระหว่างนั้นเด็กคนที่คิดเงินถามว่า มีอย่างเดียวหรือครับ ผมก็พยักหน้าตอบ โบกมือว่าไม่ต้องใส่ถุง พร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ สักครู่เด็กคนนั้นก็ยื่นเงินทอน ส่งคืนให้ ผมเห็นหน้าน้องทำคิ้วย่น สายตาเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะยังคุยโทรศัพท์ค้างอยู่ จากนั้นผมก็เดินออกแล้วกลับไปที่รถ
พอไปถึงที่รถยกมือซ้ายจะเปิดประตู อ้าว ! เห็นทั้งถุงกล้วยทอด ทั้งกาแฟสำเร็จรูป ที่เราหยิบมา ตอนที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อนี่นา…
พึมพำกับตัวเอง…“เราไม่ได้จ่ายค่ากาแฟสำเร็จรูปเมื่อสักครู่นี่หว่า” ก็เลยเดินกลับไปอีก เพื่อจะจ่ายให้เรียยร้อย
พอไปถึงผมก็บอกเด็กว่า “น้อง…เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้จ่ายค่ากาแฟถุงนี้เลย”
เด็กก็ตอบว่า “ค่ะ…” ดูแววตา ไม่แปลกใจ สงสัย เหมือนกับรู้อยู่แล้ว
“เมื่อกี้ หนูก็เห็น แต่ พี่บอกว่ามีอย่างเดียว หนูก็เลยไม่ได้ถามต่อ ค่ะ”
“ก็เลยคิดเฉพาะ ค่าขนมปังอย่างเดียว”
“หนูคิดว่า พี่ซื้อมาจากข้างนอก ไม่คิดว่าพี่ จะเป็นขโมยหรอกค่ะ…”
ผมฟังน้องพูด… จ่ายเงินเสร็จ ก็เดินออกมา….
เรื่องเล็กๆ ที่ผมเล่าให้ฟัง มันสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะวิธีการ ที่เราใช้ในการ มอง ตัดสิน หรือ ประเมิน “คน” ที่เสื้อผ้า รูป ลักษณ์ ภายนอก รวมถึงการแสดงออก ด้วยความเคยชิน มากกว่าการเข้าถึง รูป ลักษณ์ ภายใน
แม้ทุกคนจะเคยได้ยินสำนวนว่า “อย่าตัดสินใครจากภายนอก” แต่บางครั้ง ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า หากใครได้เจอคนที่ สวย หล่อ สุภาพอ่อนโยน เราก็อาจคิดไปเองว่า เขาเป็นคนที่น่าคบหา…ทั้งที่จริงเขาอาจมีอีกโฉมหน้า ที่มากเล่ห์กลซ่อนอยู่ในนั้น
ดังนั้นทุกวันนี้ เราจึงไม่ควรด่วนตัดสินใจใคร จากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว รวมถึงในโซเชียลมีเดียด้วย ขอให้สงสัยและตั้งคำถามไว้เสมอ การเป็นคนโง่ ที่มีคำถาม ดีกว่าการเป็นคนฉลาด ที่เข้าใจ และไม่สงสัยอะไรเลย…
การปรับเปลี่ยน รูป ลักษณ์ ภายนอก.. ก็แค่ทำให้ผู้คน "หลงใหล" แต่ความดีภายใน ต่างหากที่.. จะทำให้ ใครต่อใคร "หลงรัก"
4.รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใชล่ทุกอย่าง...เชื่อนางแบบอย่างฉันสิ CAMERON RUSSELL
ขึ้นชื่อว่านางแบบ เราต่างก็นึกถึงผู้หญิงที่มีรูปร่างดี ได้สัดส่วน ขายาว หน้าสวย ซึ่งเป็นความงามในอุดมคติของผู้หญิงส่วนใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอกที่ว่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่ออาชีพของพวกเธอที่ต้องสวยและดูดีอยู่ตลอด แต่เอาเข้าจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ใครจะล่วงรู้อีกด้านหนึ่งของอาชีพนี้ว่าเป็นอย่างไร
คุณ Cameron Russell นางแบบแถวหน้าระดับโลกให้กับแบรนด์อย่าง Victoria’s Secret และ Chanel รวมทั้งขึ้นปกนิตยสารชื่อดังมาแล้วมากมาย เธอบอกเล่ามุมมองที่ตรงไปตรงมาในสิ่งที่หลายๆ คนอยากรู้เกี่ยวกับอาชีพนางแบบ
มาเป็นนางแบบได้อย่างไร ?
คุณ Cameron มองว่าเธอถูกล็อตเตอร์รี่ทางพันธุกรรม (A Genetic Lottery) คือเธอเกิดมามีรูปร่างสูง ผอมเพรียว ผิวขาว และการที่เธอได้เป็นนางแบบ ก็เพราะเธอนั้นโชคดีที่รูปร่างหน้าตาของเธอตรงกับลักษณะความงามตามที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ อาจมีหลายคนแย้งว่าแล้วนางแบบผิวสีอย่าง Naomi หรือ Liu Wen ล่ะ คุณ Cameron เล่าว่าเคยมีการนับจำนวนนางแบบมาแล้วในปี 2007 ปรากฎว่ามีคนผิวสีน้อยกว่า 4 % เท่านั้นที่ได้รับเลือกเป็นนางแบบ นี่คือความจริง
เมื่อหนูโตขึ้น หนูจะเป็นนางแบบได้ไหม ?
4.รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใชล่ทุกอย่าง...เชื่อนางแบบอย่างฉันสิ CAMERON RUSSELL
ขึ้นชื่อว่านางแบบ เราต่างก็นึกถึงผู้หญิงที่มีรูปร่างดี ได้สัดส่วน ขายาว หน้าสวย ซึ่งเป็นความงามในอุดมคติของผู้หญิงส่วนใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอกที่ว่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่ออาชีพของพวกเธอที่ต้องสวยและดูดีอยู่ตลอด แต่เอาเข้าจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ใครจะล่วงรู้อีกด้านหนึ่งของอาชีพนี้ว่าเป็นอย่างไร
คุณ Cameron Russell นางแบบแถวหน้าระดับโลกให้กับแบรนด์อย่าง Victoria’s Secret และ Chanel รวมทั้งขึ้นปกนิตยสารชื่อดังมาแล้วมากมาย เธอบอกเล่ามุมมองที่ตรงไปตรงมาในสิ่งที่หลายๆ คนอยากรู้เกี่ยวกับอาชีพนางแบบ
มาเป็นนางแบบได้อย่างไร ?
คุณ Cameron มองว่าเธอถูกล็อตเตอร์รี่ทางพันธุกรรม (A Genetic Lottery) คือเธอเกิดมามีรูปร่างสูง ผอมเพรียว ผิวขาว และการที่เธอได้เป็นนางแบบ ก็เพราะเธอนั้นโชคดีที่รูปร่างหน้าตาของเธอตรงกับลักษณะความงามตามที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ อาจมีหลายคนแย้งว่าแล้วนางแบบผิวสีอย่าง Naomi หรือ Liu Wen ล่ะ คุณ Cameron เล่าว่าเคยมีการนับจำนวนนางแบบมาแล้วในปี 2007 ปรากฎว่ามีคนผิวสีน้อยกว่า 4 % เท่านั้นที่ได้รับเลือกเป็นนางแบบ นี่คือความจริง
เมื่อหนูโตขึ้น หนูจะเป็นนางแบบได้ไหม ?