วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ความหมาย ระบบการโอนถ่ายข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางหรือปลายทางโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โมเด็ม คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ดาวเทียม ควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
องค์ประกอบระบบสื่อสารข้อมูล
สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.ข่าวสาร (Message) เป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ
2.ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)
3.สื่อหรือตัวกลาง (Media) เป็นสื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
4.ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)
5.กฎ ข้อตกลง ระเบียบวิธีการรับส่ง(protocol)
สื่อหรือตัวกลางของระบบสื่อสารข้อมูล
สำหรับคอมพิวเตอร์
1.สื่อหรือตัวกลางประเภทมีสาย
1.1 สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) มี 2 ชนิด คือ
– สายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair : UTP)
– สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair : STP)
1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็นสื่อกลางที่มีส่วนของสายส่งข้อมูล
เป็นลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มด้วยพลาสติก ส่วนชั้นนอกหุ้มด้วยโลหะ
หรือฟอยล์ถักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
ในรูปแบบของแสง
2.สื่อหรือตัวกลางประเภทไร้สาย
2.1 คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง
ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟซึ่งเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลกันมากๆ หรือพื้นที่ทุรกันดาร
2.2 ดาวเทียม (Satellite) ในการส่งสัญญาณดาวเทียมนั้น จะต้องมีสถานี
ภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียม
2.3 แอคเซสพอยต์ (Access Point)
ความหมายเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ รวมถึงใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน
ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Resources Sharing) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน
2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
3. สามารถบริหารจัดการทำงานคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management)
4. สามารถทำการสื่อสารกันในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ
5. มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่าย (Network Security)

ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)
2. เครือข่ายเมือง  (Metropolises Area Network :MAN)
3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)
4. เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)

รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย
 network topology
1.การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (bus network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่ปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Terminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด เครื่องหนึ่ง เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใดหยุดทำงาน ก็ไม่มีผลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย การรับส่งสัญญาณบนสายสัญญาณต้องตรวจสอบสายสัญญาณ BUS ให้ว่างก่อน จึงจะสามารถส่งสัญญาณไปบนสาย BUS ได้
2. การเชื่อต่อเครือข่ายแบบวงแหวน (ring network) การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว (Star network)  เป็นการเชื่อมต่อสายสื่อสารจากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องไปยังฮับ (hub) หรือ สวิตช์ (switch) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สลับสายกลางแบบจุดต่อจุดเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อสื่อสารถึงกัน
4. เครือข่ายแบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกัน
อุปกรณ์เครือข่าย
1. ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทวนและขยายสัญญาณเพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลังการรับส่งและไม่มีการใช้ซอฟแวร์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งทำได้ง่าย
2. โมเด็ม (modem) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อก(Analog signal)ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)และในทางกลับกันก็แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก
3. การ์ด LAN (Network Interface Card – NIC) เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซีเข้ากับสาย LAN
4. สวิตช์ (Switching) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางในระบบเครือข่ายคล้ายHubแต่ต่างกันในเรื่องของกรทำงานและความเร็ว คือ แต่ละช่องสัญญาณ (port) จะใช้ความเร็วเป็นอิสระต่อกันตามมาตรฐานความเร็ว
5. เราท์เตอร์ (router) เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายหลายเครือข่ายที่มีขนาดต่างกันหรือใช้มาตรฐานการส่งผ่านข้อมูล (Transmission) ต่างกันสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้

โปรโตคอล (Protocol)
โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงที่ใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูล
ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลชนิดเดียวกัน
ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้เหมือนกับมนุษย์ที่ใช้ภาษาเดียวกัน
ในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันนั่น
องค์กรที่เกี่ยวข้องได้กำหนดโปรโตคอลที่เรียกว่า
มาตรฐานการจัดการระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างระบบเปิด
(Open System International :OSI)
ชนิดของโปรโตคอล
1.ทีซีพีหรือไอพี (TCP/IP)
2.เอฟทีพี (FTP)
3.เอชทีทีพี (HTTP)
4.เอสเอ็มทีพี (SMTP)
5.พีโอพีทรี (POP3)
การถ่ายโอนข้อมูล
1.การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน (Parallel transmission)
ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต
2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม (Serial transmission)
การถ่ายโอนข้อมูลแบบนุกรม
อาจจะแบ่งตามรูปแบบรับ-ส่ง ได้ 3 แบบคือ
1) สื่อสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางครั้งก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว (unidirectional data bus) เช่น การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ เป็นต้น
2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ เป็นต้น
3) สื่อสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ทั้งสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นต้น

ที่มา       : https://amata20120813914194.wordpress.com/2012/09/13/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-3-%E0%B8%A3%E0%B8%B0/

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559



บทความ

1.อย่าตัดสินคนจากหน้าตา และรูปลักษณ์ภายนอก



ในสมัยที่"ลิซซี เวลาสเกซ"เรียนชั้นมัธยมปลาย เธอได้รับฉายาว่า "ผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก" จากคลิปวิดีโอที่โพสต์ลงในยูทูบนาน 8 วินาที
แน่นอน ไม่มีใครเลือกเกิดได้ เวลาสเกซ เกิดมาพร้อมอาการทางการแพทย์ที่หาผู้ป่วยยากยิ่ง กระทั่งปัจจุบัน ในโลกมีผู้ป่วยจากโรคนี้ที่พบแล้วเพียง 3 ราย
อาการของเธอคือ เธอไม่มี"เนื้อเยื่อไขมัน"ภายใต้ผิวหนัง และไม่มีกล้ามเนื้อใดๆบนร่างกาย ทำให้ไม่สามารถกักเก็บพลังงานได้ และไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ ฉะนั้น ไขมันในร่างกายของเธอจึงเป็นศูนย์ และมีน้ำหนักเพียง 60 ปอนด์

ในคอมเมนต์ในยูทูบ ผู้ใช้บางรายเรียกเธอว่า"มัน" และบอกให้เธอ"ไปฆ่าตัวตายเสีย" แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอท้อใจแม้แต่น้อย และทำให้เธอตั้งจุดมุ่งหมายไว้ 4 ประการ 1.เป็นนักพูดเพื่อกระตุ้นให้กำลังใจผู้คน 2.เขียนหนังสือ 3. เรียนจบมหาวิทยาลัย และ 4.สร้างครอบครัวและหางานทำด้วยลำแข้งของตนเอง




ปัจจุบันในวัย 23 ปี เธอเป็นนักพูดเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้คนมานาน 7 ปีแล้ว รวมถึงเปิดเวิร์คช็อปเพื่อให้คนรู้จักที่จะสร้างความโดดเด่นให้ออกมาจากภายใน รวมถึงการรับมือจากการข่มเหงรังแกและการเอาชนะอุปสรรค? นอกจากนั้น เธอยังเรียนปริญญาโทในสาขาการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส สเตท และเป็นเจ้าของหนังสือ "Lizzie Beautiful" ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2010 ขณะที่หนังสือเล่มที่สองของเธอ "Be Yourself, Be Beautiful" เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
เวลาสเกซ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวของซีเอ็นเอ็นว่า "การถูกจ้องมอง"เป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการในขณะนี้เมื่อต้องออกสู่ที่สาธาณะ แต่เธอคิดว่า เธอเดินทางไปถึงจุดจุดหนึ่ง ที่คิดได้ว่า แทนที่จะนั่งเฉยๆและปล่อยให้คนอื่นคอยตัดสิน เธอเริ่มต้องการเดินออกไปหาคนเหล่านั้น และแนะนำตัวว่าเธอคือใคร พร้อมเสนอนามบัตรให้ พร้อมทั้งกล่าวว่า "บางทีคุณควรหยุดจ้องมองฉัน และเริ่มที่จะเรียนรู้"
เวลาสเกซ เกิดที่เมืองซานแอนโตนิโอในรัฐเท็กซัส เธอเกิดก่อนกำหนด 4 สัปดาห์ ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 2 ปอนด์ 10 ออนซ์? แม่ของเธอเคยกล่าวว่า ยังคิดไม่ออกว่าลูกสาวของเธอจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เนื่องจากแพทย์ได้แจ้งว่า เด็กคนนี้อาจไม่สามารถพูดหรือเดินได้ หรือปล่อยให้ใช้ชีวิตตามลำพังได้

อย่างไรก็ดี เธอเติบโตขึ้นตามปกติ ทั้งอวัยวะภายในและภายนอก แม้ร่างกายจะผอมบางมากจนน่ากลัว และพบว่าไม่มีชั้นไขมันภายใต้ผิวหนังซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บสารอาหาร ทำให้เธอต้องทานอาหารทุกๆ 15-20 นาที เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพอที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้? ตาข้างหนึ่งของเธอเริ่มพร่าเลือนเมื่ออายุได้ 4 ขวบ และบอดในที่สุด ทำให้ปัจจุบันเธอต้องมองสิ่งต่างๆด้วยตาเพียงข้างเดียว
เธอเขียนถึงความสำเร็จและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตลงในโพสต์บล็อคส่วนตัวโดยกล่าวว่าเธอเรียนรู้ที่จะอ้าแขนรับสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากคนอื่น แทนที่จะคอยมานั่งตอบโต้ในสิ่งที่ทำให้ตนเองรู้สึกแย่ เธอตั้งเป้าหมายให้ตนเองและผลักดันไปจนถึงความสำเร็จ ถึงแม้จะมีคนที่เกลียดอยู่บ้างก็ตาม นอกจากนั้น เธอยังเปิดช่องยูทูบ ที่สอนเทคนิคต่างๆ อาทิวิธีการรับมือกับการดูถูกดูแคลน การทำผม และการคิดบวก แม้บางครั้งจะมีคอมเมนต์ที่แสดงความเห็นในเชิงลบ เธอกล่าวว่าเธออ่านทุกคอมเมนต์เพราะมองว่านั่นก็เป็นเพียงแค่"คำพูด"
เธอกล่าวว่าเธอดีใจที่เธอดูไม่เหมือนเหล่าเซเล็บที่มีหน้าตาสวยงาม ซึ่งดูเหมือนๆกันไปหมด ที่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ


เวลาสเกซ กล่าวว่า เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอต้องรู้สึกเจ็บปวด แต่คำตัดสินของคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเป็นเช่นนั้น และเธอจะไม่ยอมให้คำพูดเหล่านั้นมากำหนดความเป็นตนเอง และจะไม่ยอมจมไปกับความเสียใจเด็ดขาด แต่จะ"แก้แค้น"ผ่านการสร้างความสำเร็จให้ตนเอง และความมุมานะ
"และในสงครามระหว่าง คลิป?ผู้หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก? และ ?ตัวฉันเอง? ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้ชนะ" เวลาสเกซกล่าวปิดท้าย




2.อย่ามองคนแค่เปลือกนอก


อย่ามองคนแค่เปลือกนอก

            เพราะไม่สามารถบอก "  ธาตุแท้  "อะไรได้

       "   ให้มองที่ข้างใน   มองที่ใจ  มองที่การกระทำจะดีกว่า   "

          "    อย่าตัดสินใครด้วยรูปลักษณ์ภายนอก

         หากคุณยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนนั้นๆ    "

 มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว 
เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน
แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง 

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน 
เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา 
เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่ 

"เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย 
ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว 
ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?" เด็กบอกอย่างสุภาพ 

"อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี 
แล้วผิวปากเรียกสุนัขทั้งเจ็ดออกมา 
เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น 

"ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม 
เจ้าของร้านตอบว่า "อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว 
เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา 
วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้" 

สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา 
ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน 
ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา 
หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย 
ท่าทางจะชอบเขามาก เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา 
ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?" 

"ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ 

เด็กชายนิ่งอึ้งไปก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ 
เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น 
"ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้" เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ 

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ!! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ 
ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย" 

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า 
"ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้" 

"ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน 
และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ 
ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม" 

เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า "คุณอาดูอะไรนี่สิครับ" 
ว่า แล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น
เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบเช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข 
แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้ 

"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน 
ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ 
อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ" 

เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา 

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า 
"ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ 
แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ 
เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ" 

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุด ตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ 
พลางกล่าวขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป 
เขาบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ 
และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก 


3.กับ..รูปลักษณ์ภายนอก แล้วมันบอกอะไรเรา

ารปรับเปลี่ยน รูป ลักษณ์ ภายนอก.. ก็แค่ทำให้ผู้คน "หลงใหล" แต่ความดีภายใน ต่างหากที่.. จะทำให้ ใครต่อใคร "หลงรัก" 
แว้บแรกที่เห็น… ผู้คนในสังคม คนแปลกหน้า เสื้อผ้า การแต่งกาย ผู้ชาย ผู้หญิง และเพศทางเลือก สิ่งแรกที่คนเราตัดสินเขา คือ… รูปลักษณ์ภายนอก

ฉันเห็นคุณอย่างที่ฉันเห็น… แต่ฉันไม่รู้จักคุณ
จริงอยู่ เราคิดว่าเราสื่อสารกันมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็คุยกันน้อยลง
จริงอยู่ ในโซเชียล เรามีเพื่อน เรารู้จักผู้คนมากขึ้น แต่เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกันน้อยลง โดยเฉพาะยุคนี้ ที่การสื่อสารทาง โซเชียล มีเดีย กำลัง พี้ค สูงสุด

ปกติเวลาในวันทำงาน ผมจะแต่งกาย ปรับเปลี่ยน รูป ลักษณ์ ภายนอก โดย สวมรองเท้าหนัง กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตแขนยาว ผูกเนคไทค์ สวมนาฬิกาข้อมือ จะมีปากกาเหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ และสวมแว่นสายตา ยังไม่รวมแท็ปเล็ต และ กระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ที่ต้องติดตัวไปด้วย นี่คือ รูป ลักษณ์ ภายนอก ที่แสดงออกทางสังคม

คุณลองนึกภาพดูน่ะครับ ถ้าคุณเป็นสามัญชนทั่วไป เมื่อเห็นผม โดยที่คุณไม่รู้จักผมมาก่อน ผมว่าในความคิดแว้บแรก เมื่อเห็น  คุณก็คงคิดว่า คนนี้ ! ไม่น่าจะเป็นคนร้าย หรือมิจฉาชีพ ใช่มั้ย ถ้าคุณคิดแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ครับ


ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง !

เย็นวันหนึ่ง หลังเลิกงาน ก่อนเข้าที่พัก ผมแวะปั้มที่เคยแวะเป็นประจำ จอดรถ ทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้ว ก็ว่าจะเดินไปซื้อขนมปัง และกาแฟสำเร็จรูป เอาไว้สำหรับ มื้อเช้าวันพรุ่งนี้

เห็นซุ้มกล้วยทอด ที่กำลังทอดขายอยู่ โชยกลิ่นมาน่ากิน ก็เลยสั่งใส่ถุงมาหนึ่งถุง จากนั้นก็เดินต่อเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ

ผมเข้าไปที่ชั้นวางสินค้า มือขวาที่ยังว่างอยู่หยิบขนมปังมาหนึ่งแถว แล้วก็เดินไปที่ชั้นวางกาแฟสำเร็จรูป มือซ้ายที่ถือถุงกล้วยทอด ก็หยิบกาแฟสำเร็จรูปมาอีกหนึ่งถุง จากนั้นก็เดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์คิดเงิน

ผมยื่นถุงขนมปังวางบนเค้าเตอร์ พอดีกับมีโทรศัพท์เข้ามา ก็เลยรีบรับโทรศัพท์ไปพร้อมกัน ในระหว่างนั้นเด็กคนที่คิดเงินถามว่า มีอย่างเดียวหรือครับ ผมก็พยักหน้าตอบ โบกมือว่าไม่ต้องใส่ถุง พร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ สักครู่เด็กคนนั้นก็ยื่นเงินทอน ส่งคืนให้ ผมเห็นหน้าน้องทำคิ้วย่น สายตาเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะยังคุยโทรศัพท์ค้างอยู่ จากนั้นผมก็เดินออกแล้วกลับไปที่รถ

พอไปถึงที่รถยกมือซ้ายจะเปิดประตู อ้าว ! เห็นทั้งถุงกล้วยทอด ทั้งกาแฟสำเร็จรูป ที่เราหยิบมา ตอนที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อนี่นา…

พึมพำกับตัวเอง…“เราไม่ได้จ่ายค่ากาแฟสำเร็จรูปเมื่อสักครู่นี่หว่า” ก็เลยเดินกลับไปอีก เพื่อจะจ่ายให้เรียยร้อย

พอไปถึงผมก็บอกเด็กว่า “น้อง…เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้จ่ายค่ากาแฟถุงนี้เลย”
เด็กก็ตอบว่า “ค่ะ…” ดูแววตา ไม่แปลกใจ สงสัย เหมือนกับรู้อยู่แล้ว
“เมื่อกี้ หนูก็เห็น แต่ พี่บอกว่ามีอย่างเดียว หนูก็เลยไม่ได้ถามต่อ ค่ะ”
“ก็เลยคิดเฉพาะ ค่าขนมปังอย่างเดียว”
“หนูคิดว่า พี่ซื้อมาจากข้างนอก ไม่คิดว่าพี่ จะเป็นขโมยหรอกค่ะ…”

ผมฟังน้องพูด… จ่ายเงินเสร็จ ก็เดินออกมา….

เรื่องเล็กๆ ที่ผมเล่าให้ฟัง มันสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะวิธีการ ที่เราใช้ในการ มอง ตัดสิน หรือ ประเมิน “คน” ที่เสื้อผ้า รูป ลักษณ์ ภายนอก รวมถึงการแสดงออก ด้วยความเคยชิน มากกว่าการเข้าถึง รูป ลักษณ์ ภายใน

แม้ทุกคนจะเคยได้ยินสำนวนว่า “อย่าตัดสินใครจากภายนอก” แต่บางครั้ง ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า หากใครได้เจอคนที่ สวย หล่อ สุภาพอ่อนโยน เราก็อาจคิดไปเองว่า เขาเป็นคนที่น่าคบหา…ทั้งที่จริงเขาอาจมีอีกโฉมหน้า ที่มากเล่ห์กลซ่อนอยู่ในนั้น

ดังนั้นทุกวันนี้ เราจึงไม่ควรด่วนตัดสินใจใคร จากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว รวมถึงในโซเชียลมีเดียด้วย ขอให้สงสัยและตั้งคำถามไว้เสมอ การเป็นคนโง่ ที่มีคำถาม ดีกว่าการเป็นคนฉลาด ที่เข้าใจ และไม่สงสัยอะไรเลย…

การปรับเปลี่ยน รูป ลักษณ์ ภายนอก.. ก็แค่ทำให้ผู้คน "หลงใหล" แต่ความดีภายใน ต่างหากที่.. จะทำให้ ใครต่อใคร "หลงรัก"

4.รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใชล่ทุกอย่าง...เชื่อนางแบบอย่างฉันสิ CAMERON RUSSELL
ขึ้นชื่อว่านางแบบ เราต่างก็นึกถึงผู้หญิงที่มีรูปร่างดี ได้สัดส่วน ขายาว หน้าสวย ซึ่งเป็นความงามในอุดมคติของผู้หญิงส่วนใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอกที่ว่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่ออาชีพของพวกเธอที่ต้องสวยและดูดีอยู่ตลอด แต่เอาเข้าจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ใครจะล่วงรู้อีกด้านหนึ่งของอาชีพนี้ว่าเป็นอย่างไร

คุณ Cameron Russell นางแบบแถวหน้าระดับโลกให้กับแบรนด์อย่าง Victoria’s Secret และ Chanel รวมทั้งขึ้นปกนิตยสารชื่อดังมาแล้วมากมาย เธอบอกเล่ามุมมองที่ตรงไปตรงมาในสิ่งที่หลายๆ คนอยากรู้เกี่ยวกับอาชีพนางแบบ

มาเป็นนางแบบได้อย่างไร ?
คุณ​ Cameron มองว่าเธอถูกล็อตเตอร์รี่ทางพันธุกรรม (A Genetic Lottery) คือเธอเกิดมามีรูปร่างสูง ผอมเพรียว ผิวขาว และการที่เธอได้เป็นนางแบบ ก็เพราะเธอนั้นโชคดีที่รูปร่างหน้าตาของเธอตรงกับลักษณะความงามตามที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ อาจมีหลายคนแย้งว่าแล้วนางแบบผิวสีอย่าง Naomi หรือ Liu Wen ล่ะ คุณ Cameron เล่าว่าเคยมีการนับจำนวนนางแบบมาแล้วในปี 2007 ปรากฎว่ามีคนผิวสีน้อยกว่า 4 % เท่านั้นที่ได้รับเลือกเป็นนางแบบ นี่คือความจริง

เมื่อหนูโตขึ้น หนูจะเป็นนางแบบได้ไหม ?

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

องค์ประกอบและหลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ
การเก็บข้อมูล การตัดสินใจ การสร้างงานที่ยุ่งยากซับซ้อนและอื่นๆ ในอดีตคอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่แต่ปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ได้พัฒนาและขยายขีดความสามารถสูงขึ้น มีการนำไปประยุกต์ใช้งานในหน่วยงานต่างๆ มากมาย เช่น งานราชการ ธุรกิจ การแพทย์ บันเทิง การทหาร
เป็นต้น ซึ่งการเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์จะช่วยทำให้เราสามารถเลือกใช้คอมพิวเตอร์ได้ตรงความต้องการและมีประโยชน์มากที่สุด


หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

   หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์จะเป็นไปตามที่โปรแกรมได้กำหนดไว้โดยตัวเครื่อง
คอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่าฮาร์ดแวร์ จะมีส่วนประกอบสำคัญขั้นพื้นฐาน 4 หน่วย คือ
  1.หน่วยรับข้อมูล (input unit)
  2.หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit)
  3.หน่วยความจำ (memory unit)
  4.หน่วยแสดงผล (output unit)

หน่วยรับข้อมูล (input unit)
         หน่วยรับข้อมูล (input unit) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่คอมพิวเตอร์ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ เป็นต้น
โดยจะแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำมาจัดเก็บที่หน่วยความจำหลักและใช้ประมวลผลได้
อุปกรณ์หน่วยรับข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้
1.แป้นพิมพ์ (keyboard)
    ทำหน้าที่รับข้อมูลโดยการกดแป้นพิมพ์ ซึ่งมีลักษณะแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีดประกอบด้วยปุ่มสำหรับพิมพ์อักขระ ตัวเลข เรียกใช้ฟังก์ชั่นของซอร์ฟแวร์และควบคุมการทำงานร่วมกับปุ่มอื่นๆ
2.เมาส์ (mouse)
  เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่ใช้เลื่อนตัวชี้ตำแหน่ง ผู้ใช้สามารถบังคับเมาส์เพื่อควบคุมตัวชี้ตำแหน่งไปมาบนจอภาพได้ ปกติตัวชี้ตำแหน่งของเมาส์จะเป็นรูปลูกศร
ซึ่งจะเกิดการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วกว่าแป้นพิมพ์
3.สแกนเนอร์ (scanner)
  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการของการส่องแสงไปยังข้อความ สัญลักษณ์ หรือภาพที่ต้องการ ทำสำเนาภาพ
จากนั้นข้อมูลที่ถูกอ่านจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าและเก็บเป็นไฟล์ภาพ
4.อุปกรณ์จับภาพ (image capturing devices)
  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บภาพต้นฉบับในรูปแบบดิจิตอล อุปกรณ์จับภาพมี 2 ชนิด คือ
  4.1 กล้องถ่ายภาพดิจิตอล
  4.2 กล้องถ่ายวิดีโอดิจิตอล
5.อุปกรณ์รับเสียง (audio-input devices)
  ทำหน้าที่รับข้อมูลเสียงทั้งเสียงพูด เสียงเพลง และเสียงอื่นๆ จากนั้นอุปกรณ์จะแปลงสัญญาณเสียงที่มนุษย์เขาใจให้อยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้า ที่คอมพิวเตอร์นำไปประมวลผลได้

หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit)
         หน่วยประมวลผลกลางเรียกอีกอย่างว่า ซีพียูทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์รับข้อมูลตามคำสั่งต่างๆ

ในโปรแกรมที่เตรียมไว้และส่งต่อไปยังอุปกรณ์แสดงผลเพื่อสามารถเก็บหรืออ่านผลลัพธ์ได้หน่วยประมวลผลกลางเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์
ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา เช่น การเปรียบเทียบ การกระทำการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ
หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ
1.หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)
2.หน่วยควบคุม (Control Unit)
3.หน่วยความจำหลัก (Main Memory)

หน่วยความจำ (memory unit)
         หน่วยความจำ (Memory Unit) เป็นที่เก็บโปรแกรมข้อมูลและผลลัพธ์ไว้
ในคอมพิวเตอร์ รวมถึงสื่อข้อมูลที่ช่วยในการจดจำ เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล
หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
  1.หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
  2.หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)
      หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
อยู่ภายในตัวเครื่องจะทำงานเชื่อมต่อกับหน่วยประมวลผลกลางและหน่วยประมวลผลกลางสามารถใช้งานได้โดยตรงหน่วยความจำชนิดนี้จะเก็บข้อมูลและชุดคำสั่ง
ในระหว่างการประมวลผลและมีกระแสไฟฟ้าสารกึ่งตัวนำหน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็กราคาถูกและสามารถให้หน่วยประมวลผลกลางนำข้อมูลมาเก็บ

และเรียกค้นได้อย่างรวดเร็วหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่รับและส่งสัญญาณไฟฟ้าในรูปแบบของรหัส ความจุไม่ใหญ่มาก        

นักโดยมีหน้าที่สำคัญ คือ เรียกใช้และเก็บชุดคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในการประมวลจากหน่วยความจำสำรอง
หน่วยความจำหลักแบ่งตามสภาพการใช้งานเป็น 2 ประเภท แบ่งออกเป็น

  - ROM (Read Only memory)
  หมายถึงหน่วยความจำที่จะถูกอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น โดยจะเก็บคำสั่งหรือโปรแกรมไว้อย่างถาวร แม้ปิดเครื่องก็จะไม่ถูกลบไม่ต้องไฟฟ้าเลี้ยง

  - RAM (Random access memory)
  หมายถึงหน่วยความจำที่ใช้ในการจดจำข้อมูลหรือคำสั่งขณะที่เครื่องทำงานความจำประเภทนี้ต้องอาศัยไฟฟ้าในการทำงานเพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหาย
ซึ่งหากไฟฟ้าดับข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะหายไป
         หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)
เปรียบเสมือนสมุดบันทึกสำหรับเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ใช้ใน โอกาสต่อไป หน่วยความจำสำรองหรือหน่วยความจำรอง (Secondary Storage Unit) 
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลตามคำสั่งของผู้ใช้ ซึ่งจะมีพื้นที่หรือความจุมากกว่าหน่วยความจำหลัก ลักษณะในการเก็บข้อมูลจะเป็นแบบถาวร คือ ข้อมูลจะไม่สูญหายไปเมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้าหรือปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง

ฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่ในหน่วยความจำสำรองที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท

-   ฮาร์ดดิสก์

-   ออปติคัลดิสก์

-  เอ็กซ์เทอร์นอล

-  แฟลชไดร์ฟ
 
หน่วยแสดงผล (output unit)
         หน่วยแสดงผล (output unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ผ่านการประมวลผลโดยจะแปลงผลลัพธ์จากสัญญาณไฟฟ้า
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์พิเศษ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เป็นต้น
อุปกรณ์หน่วยแสดงผลที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
1.จอภาพ (monitor)
  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวได้ในขณะที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นแต่เมื่อปิด เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้
  
2.เครื่องพิมพ์ (printer)
  เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์ในรูปข้อมูล รายงาน รูปภาพลงบนกระดาษ ซึ่งสามารถสัมผัสและเก็บรักษาไว้ได้นาน
  
3.ลำโพง (speaker) เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์รูปแบบเสียง

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ

ประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย

1. ฮาร์ดแวร์
mouse_white.gifฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รอบข้าง รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดตรวจเมื่อพิจารณาเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น  3 หน่วย คือ
        หน่วยรับข้อมูล (input unit) ได้แก่ แผงแป้นอักขระ เมาส์
        หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
        หน่วยแสดงผล (output unit) ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์
2 . ซอฟต์แวร์
       ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติงาน ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบงาน ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับงานต่างๆ ลักษณะการใช้งานของซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้      ผู้ใช้จะต้องติดต่อใช้งานโดยใช้ข้อความเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์มีลักษณะการใช้งานที่ง่ายขึ้น โดยมีรูปแบบการติดต่อที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น มีส่วนประสานกราฟิกกับผู้ใช้ที่เรียกว่า กุย (Graphical User Interface : GUI) ส่วนซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีใช้ในท้องตลาดทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวาง และเริ่มมีลักษณะส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น ส่วนงานในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการโดยการว่าจ้าง หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร เป็นต้น
 ซอฟต์แวร์ คือ  ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
    1.      ซอฟต์แวร์ระบบ  คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการกับระบบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ  เช่น ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส ระบบปฏิบัติการดอส ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
    2.      ซอฟต์แวร์ประยุกต์  คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น     ซอฟต์แวร์กราฟิก     ซอฟต์แวร์ประมวลคำ    ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน      ซอฟต์แวร์นำเสนอข้อมูล  












3. ข้อมูล
     ข้อมูล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ อาจจะเป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้ เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
4. บุคลากร
          บุคลากรในระดับผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใดโอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคลซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานได้เองตามความต้องการ สำหรับระบบสารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์กรที่มีความซับซ้อนจะต้องใช้บุคลากรในสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน
5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
          ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อได้พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอนในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่อง ทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเครื่องชำรุดหรือข้อมูลสูญหาย และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการซักซ้อม มีการเตรียมการ และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน 
HTML

บทนำ HTML

    ต้นกำเนิดของภาษา HTML เกิดจาก เมื่อปี 1989 นักฟิสิกส์ชื่อ Tim Berners-Lee แห่งสถาบันวิจัย CERN เสนองานวิจัยเรื่อง prototyped ENQUIRE และ Hypertext system ใช้สำหรับนักวิจัยของสถาบันเพื่อแบ่งข้อมูลกัน และถูกพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน

    HTML     เป็นตัวย่อมาจาก Hypertext Markup Language เป็นภาษาหลักที่ใช้ในการแสดงผลบนเว็บ บราวเซอร์ในอินเตอร์ โดยสามารถนำเสนอข้อมูลตัวอักษร รวมทั้งเชื่อมต่อเพื่อ แสดงภาพ , เสียง และไฟล์ในรูปแบบอื่นๆ

ภาษา HTML จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 

1. ส่วนของคำสั่ง (tag) เป็นส่วนที่กำหนดรูปแบบของข้อความที่แสดง ซึ่งเราเรียกว่า Tag โดยจะอยู่ในเครื่องหมาย < ... > 

2. ส่วนของบทความทั่วๆไป เป็นส่วนของข้อความที่เราต้องการแสดงผล 


ตัวอย่างการใช้งานภาษา HTML 

คุณอาจลองพิมพ์ตามตัวอักษรด้านล่างนี้ ใน Text editer ของคุณเช่น Notepad 

<html>

    <head>

        <title> หัวข้อเรื่อง ของหน้านี้ </title>

    </head>

    <body>

            เนื้อหาที่จะแสดงใน web browser

    </body>

</html>


เมื่อคุณพิมพ์เสร็จก็ให้ save ในชื่อ mypage.html และลองใช้ web browser อย่าง internet explorer หรือ fire fox เปิดดูก็จะเห็นผลตามรูปด้านล่าง 



การทำงานของ code ด้านบน 

1. <html> ...... </html> ในการใช้งาน HTML เราจะต้องเริ่มด้วย <html> และปิดด้วย </html> เสมอ 

2. <head> ...... </head> เป็นส่วนที่ใช้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ เว็บเพจหน้านี้ ซึ่งจะไม่แสดงให้เห็นในส่วนของการแสดงผลของ web browser แต่จะมีผลกับส่วนอื่นๆ เช่น การหาของ search engine (google,yahoo) การใช้งานก็จะมีคำสั่งย่อยเพื่อบรรยายรายละเอียด เช่น <title> .... </title> , <meta> และอื่นอีกมากมาย 

3. <title> .......... </title> ในส่วนตัวอักษรที่อยู่ในคำสั่งนี้จะอยู่ใน title bar ของ web page 

4. <body> .......... </body> ตัวอักษรที่อยู่ในคำสั่งนี้จะแสดงส่วนแสดงผลของ web browser 

ในบทต่อไปเราจะอธิบายรายละเอียดของ คำสั่ง (tag) ให้ละเอียดขึ้น ในบทที่แล้วเราได้ลองเขียน HTML กันดูบ้างแล้ว ในบทนี้เราจะลงรายละเอียดคำสั่งของ HTML โดยการใช้งานหลักจะมีดังนี้ 

1. คำสั่ง หรือ Tag

            Tag เป็นลักษณะเฉพาะของภาษา HTML ใช้ในการระบุรูปแบบคำสั่ง หรือการลงรหัสคำสั่ง HTML ภายในเครื่องหมาย less-than bracket ( < ) และ greater-than bracket ( > ) โดยที่ Tag HTML แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ 

     Tag เดี่ยว     เป็น Tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น <HR>, <BR> เป็นต้น

     Tag เปิด/ปิด     รูปแบบของ tag นี้จะเป็นแบบ <tag> .... </tag> โดยที่ 

            <tag> เราเรียกว่า tag เปิด

            </tag> เราเรียกว่า tag ปิด

2. Attributes

            Attributes เป็นตัวบอกรายละเอียดของ tag นั้นเช่น <span align = 'left'> ... </span> เป็นการบอกว่าให้อักษรที่อยู่ใน tag นี้ชิดซ้าย

3. not case sensitive 

            หมายถึง คุณจะพิมพ์ <BR> หรือ <br> ก็ได้ ผลลัพธ์ออกมาไม่ต่างกัน



โครงสร้างของหลักของ HTML 

โครงสร้างหลักของ HTML ก็จะเริ่มด้วย <html> และจบด้วย </html> เสมอ ซึ่งชุดคำสั่งที่ใช้จะแยกเป็น 2 ส่วนคือ 

        1. head คำสั่งที่อยู่ในส่วนนี้จะใช้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับ web page ซึ่งจะไม่แสดงผลที่ web page โดยตรง

        2. body คำสั่งที่อยู่ในส่วนนี้จะใช้ในการจัดรูปแบบตัวอักษร จัดหน้า ใส่รูปภาพ ซึ่งตัวอักษรในส่วนนี้จะแสดงที่ web brower โดยตรง

<html>

    <head>

             คำสั่งในหัวข้อของ head 

    </head>

    <body>

             คำสั่งในหัวข้อของ body ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ใช้แสดงผล 

    </body>

</html>

1. คำสั่งในหัวข้อของ head (Head Section)

Head Section เป็นส่วนที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะของหน้าเว็บนั้นๆ เช่น ชื่อเรื่องของหน้าเว็บ (Title), ชื่อผู้จัดทำเว็บ (Author), คีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหา (Keyword) โดยมี Tag สำคัญ คือ

<HEAD>

            <TITLE>ข้อความอธิบายชื่อเรื่องของเว็บ</TITLE>

            <META HTTP-EQUIV="Content-Type" CONTENT="text/html; charset=utf-8">

            <META NAME="Author" CONTENT="ชื่อผู้พัฒนาเว็บ">

            <META NAME="KeyWords" CONTENT="ข้อความ 1, ข้อความ 2 ">

</HEAD>


TITLE

    ข้อความที่ใช้เป็น TITLE ไม่ควรพิมพ์เกิน 64 ตัวอักษร, ไม่ต้องใส่ลักษณะพิเศษ เช่น ตัวหนา, เอียง หรือสี โดยข้อความในส่วนนี้จะแสดงผลใน title bar ของ web browser 

META

    Tag META จะไม่ปรากฏผลบนเบราเซอร์ แต่จะเป็นส่วนสำคัญ ในการจัดอันดับบัญชีเว็บ สำหรับผู้ให้บริการสืบค้นเว็บ (Search Engine เช่น google , yahoo) 

    charset=TIS-620 ใช้บอกว่าใช้ชุดตัวอักษรแบบใดในการแสดงผล ภาษาไทยเราใช้ charset=TIS-620 หรืออาจเป็น charset=windows-874 ก็ได้ ตอนนี้แนะนำให้ใช้เป็น charset=utf-8 

     keyword ดังภาพด้านบนจะเห็นว่าเราสามารถใช่ keywords มากกว่า 1 คำได้โดยใช้เครื่องหมาย (,) ในการคั่นระหว่างคำ 

    การพิมพ์ชุดคำสั่ง HTML สามารถพิมพ์ได้ทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ หรือผสม การย่อหน้า เว้นบรรทัด หรือช่องว่าง สามารถกระทำได้อิสระ โปรแกรมเบราเซอร์จะไม่สนใจเกี่ยวกับระยะเว้นบรรทัดหรือย่อหน้า หรือช่องว่าง 



2. คำสั่งในส่วนของ (Body Section)

        Body Section เป็นส่วนเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ ซึ่งการแสดงผลจะต้องใช้ Tag จำนวนมาก ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล เช่น ข้อความ, รูปภาพ, เสียง, วีดิโอ หรือไฟล์ต่างๆ 

        ส่วนเนื้อหาเอกสารเว็บ เป็นส่วนการทำงานหลักของหน้าเว็บ ประกอบด้วย Tag มากมายตามลักษณะของข้อมูล ที่ต้องการนำเสนอ การป้อนคำสั่งในส่วนนี้ ไม่มีข้อจำกัดสามารถป้อนติดกัน หรือ 1 บรรทัดต่อ 1 คำสั่งก็ได้ แต่มักจะยึดรูปแบบที่อ่านง่าย คือ การทำย่อหน้าในชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้ให้ป้อนคำสั่งทั้งหมดภายใต้ Tag <BODY> </BODY> และแบ่งกลุ่มคำสั่งได้ดังนี้ 

กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการจัดรูปแบบเอกสาร 

กลุ่มคำสั่งจัดแต่ง/ควบคุมรูปแบบตัวอักษร 

กลุ่มคำสั่งการทำเอกสารแบบรายการ (List) 

กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการทำลิงค์ 

กลุ่มคำสั่งจัดการรูปภาพ 

กลุ่มคำสั่งจัดการตาราง (Table) 

กลุ่มคำสั่งควบคุมเฟรม 

กลุ่มคำสั่งอื่นๆ 

ในบทต่อไปจะเป็นคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ Body section ทั้งหมด

คำสั่งในการจัดหน้า

HTML

ในบทความนี้จะเป็นเนื้อหาของคำสั่งที่ใช้ในส่วนของ body section ทั้งหมดโดยจะเป็นคำสั่งในส่วนของการจัดหน้า 

ซึ่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลองพิมพ์ดู ดังนั้น Hellomyweb.com จึงได้ทำ text editor และหน้าจอแสดงผลไว้ด้วยกันให้คุณลองพิมพ์ลองแก้ไขกันดู โดยคลิกที่ลิงก์ที่หัวข้อได้เลย

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.คำสั่งที่ใช้ในการจัดย่อหน้า
    คำสั่ง P นี้จะเพิ่มบรรทัดว่างก่อนและหลังตัวอักษรที่เราพิมพ์ไปโดยอัตโนมัติ ตามที่แสดงในตัวอย่าง

รูปแบบ p tag 

<p> ย่อหน้าที่ 1 </p>

<p> ย่อหน้าที่ 2 </p>

<p> ย่อหน้าที่ 3 </p>


    2.คำสั่งที่ใช้ในการขึ้นบรรทัดใหม่
    การตัดบรรทัดใหม่นั้นปรกติ web browser จะทำการตัดให้อยู่แล้ว แต่การตัดคำของ web browser จะตัดเมื่อแสดงผลไม่ได้ แต่ถ้าเราใส่คำสั้ง <br> เข้าไป web browser จะตัดให้ทันที ซึ่งคุณอาจจำเป็นที่จะต้องตัดคำเป็นบรรทัดสั้นๆเช่น การเขียนกลอนดังตัวอย่าง

รูปแบบ br tag 

บรรทัดที่ 1 <br>

บรรทัดที่ 2 <br>

บรรทัดที่ 3 <br>


    3.คำสั่งที่ใช้กับข้อความที่เป็นหัวเรื่อง
    คำสั่ง h จะมีทั้งหมด 6 ลำดับด้วยกัน ไล่ตั้งแต่ h1,h2,h3,h4,h5,h6 ซึ่งขนาดของ h1 จะใหญ่ที่สุดดังตัวอย่างที่แสดง โดยเราจะใช้กับตัวอักษรที่ต้องการให้เป็นหัวเรื่องเพื่อให้อักษรนั้นโดดเด่นขึ้นมา จะสังเกตุได้ว่าเมื่อใช้ h tag จะตัดตัวอักษรที่ต่อจาก h tag เป็นบรรทัดใหม่อัตโนมัติ

รูปแบบ h tag 

<h1>head 1</h1>

<h2>head 2</h2>

<h3>head 3</h3>

<h4>head 4</h4>

<h5>head 5</h5>

<h6>head 6</h6>


    4. คำสั่งที่ใช้ในการขึดเส้นคั่น
    คำสั่งที่ใช้ในการขีดเส้นคั่น

รูปแบบ hr 

<p>เนื้อหาบทที่ 1</p>

<hr>

<p>เนื้อหาบทที่ 2</p>

<hr>


    5.คำสั่งที่ใช้ในการจัดตัวอักษรชิดซ้าย ชิดขวา หรือกึ่งกลาง
    การจัดให้ตัวอักษรให้ชิดซ้าย ขวา หรือกึ่งกลาง เราจะใช้ Attributes ให้รายละเอียดของ tag โดยเราจะใช้ aling เพื่อบอกว่าให้ชิดซ้าย (align = 'left') ชิดขวา (align = 'right') และ จัดกึ่งกลาง (align = 'center')

รูปแบบ align 

<h3 align = 'left'>ชิดซ้าย</h3>

<h3 align = 'right'>ชิดขวา</h3>

<h3 align = 'center'>จัดเข้ากลาง</h3>


    6. คำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนสีพื้นหลัง
    bgcolor เป็น Attributes อย่างหนึงเหมือนกันที่ใช้กำหนดสี คุณอาจเปลี่ยนจาก สีเขียว(green) เป็น เหลือง(yellow) หรือสีอื่นๆก็ได้

รูปแบบ bgcolor 

<body bgcolor ='green'>

<h1> ดูสีพื้นหลัง </h1>

</body>


    7. การเขียนคำบรรยาย soure code
    ในส่วนของคำบรรยาย soure code นั้นจะไม่แสดงที่ web browser เราเขียนเพื่อบรรยายว่า sorce code ส่วนนี้ใช้ทำอะไร เพื่อความสะดวกเมื่อกลับมาแก้ไข sorce code ในภายหลังเพราะเราอาจจำไม่ได้ว่าเราเขียนส่วนนี้ไว้เพื่ออะไร เพราะว่าจริงๆแล้ว soure code ที่เราใช้งานจริงนั้นจะมีมากมายหลายร้อยบรรทัด ถ้าเราไม่เขียนบรรยายไว้ก็ทำให้เสียเวลาในการหาส่วนที่เราต้องการจะแก้ไข

รูปแบบการเขียนคำบรรยาย source code

<!-- คำบรรยาย source code --!>

คำสั่งในการกำหนดลักษณะตัวอักษร และแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ

HTML

    ตัวเอียง ตัวหนา หรือแบบอักษรแบบต่างนั้นมีเพื่อให้เราอ่านบทความได้ง่ายขึ้น หรือเป็นการเน้นคำ ซึ่งในบทนี้เราจะมาดูกันว่ามีคำสั่งอะไรบ้าง

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.คำสั่งที่ใช้ในการจัดลักษณะตัวอักษร
    ในหัวข้อนี้จะเป็นคำสั่งที่ใช้ในการจัดรูปแบบทั่วไปเช่นตัวเอียง ตัวหนา

    คำสั่งเราจะแบ่งได้เป็น 2 พวกดังนี้ 

    1.แบ่งตามลักษณะที่ปรากฏ เช่นตัวเอียง ตัวหนา

        <B>
<I>
<S>
<Sub>
<Sup>
<U>
ตัวอักษรแบบตัวหนา (bold)
ตัวอักษรแบบตัวเอน (italic)
ตัวอักษรแบบตัวขีดฆ่า (strike)
ตัวอักษรแบบตัวห้อย (subscripted)
ตัวอักษรแบบตัวยก (superscripted)
ตัวอักษรแบบขีดเส้นใต้ (underline)


    2.แบ่งตามการใช้งาน เช่น ใช้กับคำพูดหรือวลี ใช้กับข้อความที่สำคัญมาก

        <Em>
<Stong>
<Ins> 
<Del> 
<Code> 
<Address> 
ใช้เน้นข้อความ คำพูดหรือวลี (emphasized)
ใช้เน้นข้อความที่สำคัญมากๆ (strong)
ใช้เน้นข้อความที่แก้ไขเพิ่มเติม (inserted)
ใช้บอกว่าข้อความนี้ถูกลบไปแล้ว (deleted)
ใช้บอกว่าข้อความที่เป็นโปรแกรม (computer code)
ใช้บอกว่าข้อความที่เป็นที่อยู่ (computer code) 


    ซึ่งจริงแล้วนั้น ผลลัพธ์ออกมาก็เหมือนกัน เช่น B ให้ผลลัพธ์เหมือนกับ Strong เราจะเลือกใช้แบบใดก็ได้ แต่เราแยกเพื่อความสะดวกในการใช้งานมากกว่า 

    2.คำสั่งที่ทำให้รูปแบบตัวอักษรใน soure code เหมือนกับที่แสดงผล
    Pre tag จะมีประโยชน์มากในการที่เราจะแสดงบทความที่มีเนื้อหามาก หรือ คัดลอกเนื้อหาจากที่อื่นมาทำให้เราไม่ต้องขึ้นบรรทัดใหม่ด้วยคำสั่ง br และใช้ในการแสดง source code ได้ดีอีกด้วย

    รูปแบบของ Pre tag

<pre> ..... </pre>


    3.คำสั่งแสดงสัญลักษณ์พิเศษต่างๆ
    สัญลักษณ์พิเศษบางตัวเช่น เครื่องหมายมากว่า (>) หรือ เครื่องหมายน้อยกว่า (<) ซึ่งเครื่องหมายเหล่านี้ใช้ในภาษา HTML ด้วยทำให้ตัวอักษรที่อยู่ในเครื่องหมายเหล่านี้กลายเป็น Tag หมด หรือเครื่องหมายที่ไม่มีบนคีบอร์ด แต่ถ้าเราต้องการแสดงเครื่องหมายเหล่านี้เราต้องใช้ Entity Name แทน ตามแบบด้านล่าง



เชื่อมต่อเอกสารของเราด้วย hyperlink

HTML

hyperlink หรือเราเรียกกันสั้นว่า link ซึ่งเราจะเห็นอยู่ในทุกเว็บไซต์ ใช้เพื่อเปิดเว็บเพจอื่นๆใน เว็บไซต์ของเรา หรือเชื่อมโยงไปที่ web site หรือ เว็บเพจอื่นๆ ซึ่งมีความสำคัญมากในเว็บไซต์

เรามาลองสร้าง hyperlink กันง่ายๆดู 

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.สร้าง hyperlink 
    ในตัวอย่างจะใช้ตัวอักษรในการทำ hyperlink ซึ่งการลิงค์ในตัวอย่างจะมี 2 แบบคือ

        1.1. ลิงค์ภายในเว็บไซต์ด้วยกัน มีหลักการสร้าง hyperlink ดังรูปด้านล่าง



    รูปแบบของ hyperlink ภายใน directory เดียวกัน

<a href='ชื่อไฟล์ที่ต้องการลิงค์'> ตัวอักษรที่จะใช้แสดง </a>


    รูปแบบของ hyperlink จาก directory ที่สูงกว่า

<a href='ชื่อ directory ที่เก็บไฟล์ไว้/ชื่อไฟล์ที่ต้องการลิงค์'> ตัวอักษรที่จะใช้แสดง </a>


    รูปแบบของ hyperlink จาก directory ที่ต่ำกว่า 1 ขั้น

<a href='../ชื่อไฟล์ที่ต้องการลิงค์'> ตัวอักษรที่จะใช้แสดง </a>


        1.2. ลิงค์กับเว็บภายนอก

    รูปแบบของ hyperlink กับเว็บภายนอก

<a href='http://domain name'> ตัวอักษรที่จะใช้แสดง </a>


    2.สร้าง hyperlink ด้วยรูปภาพ 
    ในตัวอย่างจะเป็นการสร้างลิงค์ด้วยรูปภาพ 

    รูปแบบของการสร้าง hyperlink ด้วยรูปภาพ

<a href='หน้าที่ต้องการเชื่อมโยง'>

<img border = '0' src ='ที่อยู่ภาพ/ชื่อภาพ'>

</a>


    3.สร้าง hyperlink ในหน้าเดียวกัน 
    ในหน้าที่มีบทความเยอะมากๆ เราต้องการสร้าง link เพื่อไปยังหัวข้อที่อยู่ในหน้าเดียวกันเพื่อความสะดวกในการอ่านบทความ โดยเราจะตั้งจุดที่เราต้องการจะ link ไปหาโดยใช้ <a name ='ชื่อ'> </a> 

    รูปแบบของการสร้าง hyperlink ในหน้าเดียวกัน

    สร้างจุดที่ต้องการจะลิงค์ไป 

<a name='ชื่อจุดลิงค์'> </a>


    สร้างลิงค์ 

<a href='#ชื่อจุดลิงค์'> ตัวอักษรที่ต้องการแสดง </a>


    4.เปิด browser ใหม่เมื่อคลิกที่ลิงค์ 
    การสร้าง link ให้เปิด browser ใหม่เราจะใช้ Attributes โดยพิมพ์ target="_blank" ใน a tag

    เปิด browser ใหม่เมื่อคลิกที่ลิงค์ 

<a href="เป้าหมาย" target="_blank">ตัวอักษรที่ใช้แสดง</a>

แบ่งหน้าจอโดยใช้ Frame

HTML

    ปรกติเราจะแสดงเว็บเพจใน browser ได้ที่ละ 1 เว็บเพจ แต่ถ้าเราใช้ Frame เราจะสามารถแสดงเว็บเพจได้หลายๆเว็บเพจในหน้าเดียว โดยจะแบ่งหน้าของ browser ออกเป็นส่วนๆ โดยใช้ Frame 

เรามาลองสร้าง Frame กันง่ายๆดู 

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.การแบ่ง frame แบบแนวตั้ง 
    frame ในแนวตั้งซึ่งจะเปิดเว็บเพจถึง 3 ไฟล์ในหน้าเดียวกันโดยเราจะแบ่งขนาดของ frame เป็น % หรือเป็น (px) pixel ก็ได้ 

    รูปแบบของ frame แนวตั้ง 

<html>

<frameset cols=ขนาดเฟรม1,ขนาดเฟรม2>

<frame src='เว็บเพจ1'>

<frame src='เว็บเพจ2'>

</frameset>

</html>


    2.การแบ่ง frame แบบแนวนอน 
    การแบ่งแบบแนวนอน ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ซึ่งแบ่งเป็น % หรือ px (pixel) ก็ได้เช่นกัน ซึ่งเราจะใช้ rows (แถว) แทน cols (หลัก) 

    รูปแบบของ frame แนวนอน 

<html>

<frameset rows=ขนาดเฟรม1,ขนาดเฟรม2>

<frame src='เว็บเพจ1'>

<frame src='เว็บเพจ2'>

</frameset>

</html>


    3. <noframes> 
    ถ้า browser ของคุณไม่สนับสนุน frame จะมีคำเตือนตามที่เราเขียนขึ้นมา

<html>

<noframes>

<body> คำเตือน </body>

</noframes>

</html>


    4.ลองเอา frame แนวตั้งและแนวนอนมารวมกัน 
    ในตัวอย่างนี้จะนำเอา frame แนวตั้งและแนวนอนมารวมกัน ซึ่งเป็นการซ้อนกันของ frame นั่นเอง

    5.ห้ามเปลี่ยนขนาดของ frame 
    frame ในตัวอย่างที่ผ่านมานั้นจะสังเกตุได้ว่าสามารถเปลี่ยนขนาดได้ตามใจของเรา แต่ถ้าเราไม่ต้องการให้ผู้ใช้เปลี่ยนขนาดเราต้องใช้คำสั่ง noresize ซึ่งเป็น Attributes มาช่วย 

    6.การใช้ link ให้สัมพันธ์กันใน frame 
    ข้อดีของ frame ที่จะเห็นได้ก็คือ ใช้ในการทำเมนู ดังในตัวอย่างนั่นเองซึ่งจะต้องใช้ ไฟล์ 2 ไฟล์ ดังนี้ 

    1.ไฟล์ที่ใช้จัด frame ดังในตัวอย่างซึ่งจะเห็นว่าเราได้ใส่ชื่อ(name) ให้กับ frame ที่เราสร้างขึ้นมาด้วย 

    2. ไฟล์ที่ใช้ทำเป็น link ของเราซึ่งมีคำสั่ง target='frame' หมายความว่าให้แสดงผลใน frame ที่มีชื่อว่า frame2 นั่นเอง มี soure code ดังนี้ 

<html>

<body>

    เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

    <a href="http://www.hellomyweb.com" target="frame2">

    hellomyweb</a>

    <a href="http://www.w3schools.com" target="frame2">

    w3schools </a>

</body>

</html>


    7. การใช้ link ให้ปิด frame ทั้งหมด
    ในตัวอย่างนี้จะเป็นการสร้าง link ให้ทำลาย frame ทั้งหมด ซึ่งเราจะใช้คำสั่ง target ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 

    1.target='_top'เป็นคำสั่งให้เปิด link ทับหน้าเดิมทั้งหมด ซึ่งจะปิด frame ทั้งหมดเช่นเดียวกัน

    2.target='_blank' เป็นคำสั่งให้เปิด link ในหน้าใหม่

    3.target='_self' เป็นคำสั่งให้เปิด link ใน frame ปัจจุบัน

    8. iframe
    เป็น frame รูปแบบหนึ่ง นิยมใช้ในส่วนที่เป็นโฆษณา เนื่องจากทำให้เราสะดวกไม่ต้องมาแก้ที่หน้าหลักแต่แก้ที่หน้าที่เป็นโฆษณาได้เลย ซึ่งเราอาจเอาให้หน้าที่เป็นโฆษณาให้ลูกค้าแก้ไขโดยไม่ต้องยุ่งกับหน้าหลักของเรา 

Table คำสั่งที่สำคัญสุดในการทำเว็บเพจ

HTML

ในหน้าเว็บเพจของเราประกอบด้วยข้อมูลมากมาย จึงจำเป็นที่จะต้องจัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบเพื่อให้อ่านง่าย และใช้งานพื้นที่ได้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งตารางจะช่วยเราได้มาก และนิยมใช้มากในการจัดรูปแบบหน้าตาของเว็บไซต์ จะเห็นได้ว่าถ้าเราดู source code ของเว็บไซต์ส่วนใหญ่เราจะเห็นคำสั่งตารางอยู่ทั่วไปเต็มไปหมด ซึ่งในบทนี้เราจะมาลองสร้างตารางกัน

ลองสร้างตารางดู

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.ลองสร้างตารางดู 
    ตารางจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 

    1.แถว    คือจำนวนตารางในแนวนอน

    2.หลัก    คือจำนวนตารางในแนวตั้ง

รูปแบบของคำสั่งตาราง

<table>

    <tr>

        <td></td>

    </tr>

</table>


    2.เส้นขอบตาราง 
    เมื่อพูดถึงตารางก็ต้องพูดถึงเส้นขอบของตาราง ซึ่งในบทนี้จะพูดถึงการกำหนดเส้นขอบของตาราง โดยขอบของตารางเราจะใช้ Attibute คำสั่ง border ในการควบคุม 

รูปแบบของคำสั่ง border

<table border="ขนาดเส้นของขอบ"> <tr><td></td></tr> </table>


    3.หัวข้อตาราง 
    ปรกตินั้นถ้าเราจะเขียนส่วนที่เป็นหัวข้อเราจะใช้ h tag หรือ <b> เพื่อเน้นส่วนที่เป็นหัวข้อ แต่ในส่วนของตารางมีคำสั่งให้เราใช้กันอยู่แล้ว นั่นคือ th 

รูปแบบของคำสั่ง border

<table> <tr><th></th></tr> </table>


    4.ใส่ช่องว่างให้ตาราง 
    ถ้าเรามีตาราง 6 ช่อง แต่มีข้อมูลอยู่เพียง 5 ชิ้น เมื่อเราเขียนข้อมูลใส่ตารางจะพบว่าตารางแสดงผลมีเส้นขาดหายไปดังนั้นเราจึงต้องใส่ค่าว่างไปให้ตารางเพื่อแสดงผลเส้นที่ขาดหายไป ด้วยการใช้ &nbsp; 

การใช้ช่องว่าง

<table> <tr><td> &nbsp; </td></tr> </table>


    5.การผสานตาราง 
    ถ้าข้อมูลเขาเรา มี 1 หัวข้อใหญ่แต่มีข้อมูล ย่อยๆ 2 ชนิด ทำให้เราต้องทำการผสานตารางตามตัวอย่าง โดยมีหลักดังนี้

    1.ผสานในหลักให้ใช้คำสั่ง colspan = "จำนวนช่องที่ต้องการผสาน" 

    2.ผสานในแถวให้ใช้คำสั่ง rowspan = "จำนวนช่องที่ต้องการผสาน" 

    6.ตารางซ้อนตาราง 
    การทำตารางซ้อนตาราง เป็นการจัดหน้าเว็บที่ใช้กันบ่อยมาก และเป็นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้จัดเรียงข้อมูลได้ดีขึ้น

    7.กำหนดระยะห่างของช่อง
    ในตัวอย่างจะเป็นการแสดงการใช้งาน cellpadding และ cellspacing โดยทั้ง 2 อย่างมีการใช้งานดังนี้ 

    1. cellpadding    ใช้กำหนดระยะห่างระหว่างข้อมูล กับเส้นขอบตาราง 

    2. cellspacing    ใช้กำหนดระยะห่างระหว่างเส้นตารางภายนอก และภายใน ให้ลองสังเกตุจากตัวอย่างดู จะเห็นว่าแตกต่างจากการใช้ border 

    8.ใส่พื้นหลังให้ตาราง
    ในบทนี้จะใส่พื้นหลังให้กับตาราง และช่องของตาราง โดยพื้นหลังมี 2 แบบคือ 

    1.แบบที่เป็นสี ใช้คำสั่ง bgcolor 

    2.แบบที่เป็นรูปภาพ ใช้คำสั่ง background 

    9.ขนาดตาราง
    ขนาดของตารางกำหนดได้โดย Attibute คำสั่ง width และความสูงใช้คำสั่ง height ซึ่งเราจะกำหนดหน่วยเป็น % หรือ px(pixel) แล้วแต่จุดประสงค์ 

    1.แบบเปอร์เซนต์ (%) ขนาดจะเปลี่ยนตามขนาดหน้าต่างของ web browser ที่เปลี่ยนแปลง 

    2.แบบ pixel (px) ขนาดจะเท่าที่เรากำหนดตลอดไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไม่กำหนดหน่วยเป็น % ตัวของ html จะกำหนดให้เป็น px เสมอ 

    10.การจัดเรียงตัวอักษรในช่องของตาราง
    ในบทนี้จะเป็นเรื่องของ การจัดเรียงตัวอักษร หรือ รูปภาพ ในช่องของตารางให้ชิดซ้าย หรือชิดขวา หรือจัดเข้ากึ่งกลาง ซึ่งจะทำให้ตารางข้อมูลดูได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราจะใช้ Attibute คำสั่ง Align 

    11.การกำหนดขอบของตาราง
    ขอบของตารางเราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้มีขอบที่ด้านใดบ้าง โดยใช้ Attibute คำสั่ง frame ซึ่งมีค่าที่ใส่ให้ frame ตามข้อมูลด้านล่าง

BORDERแสดงเส้นกรอบทุกด้านของช่องตาราง
VOIDลบเส้นกรอบทุกด้านของตาราง
HSIDESแสดงเส้นด้านบนและด้านล่างของช่อางตาราง
ABOVEแสดงเส้นด้านบนของช่องตาราง
BELOWแสดงเส้นด้านล่างของช่องตาราง
VSIDESแสดงเส้นด้านซ้ายและด้านขวาของช่องตาราง
LHSแสดงเส้นด้านซ้ายของช่องตาราง
RHSแสดงเส้นด้านขวาของช่องตาราง


สำหรับเรื่องของตารางก็คงจบแค่นี้ ก็ต้องย้ำกันอีกทีว่าเรื่องของตารางเป็นสิ่งที่จำเป็นและใช้กันมากในการทำเว็บไซต์ และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายมาก


list จัดข้อมูลในเว็บเพจให้เป็นระเบียบ

HTML

list tag ใช้ในการจัดข้อมูลเป็นชุดๆ หรือเป็นหัวข้อ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลอ่านได้ง่ายขึ้น ซึ่ง list แบ่งได้เป็น 2 แบบด้วยกัน 

ลองสร้าง list ดู

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.list แบบไม่มีลำดับ 
    เป็น list แบบง่ายดีสุดเหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูลที่ไม่มีลำดับเกี่ยวข้อง โดยมีรูปแบบดังนี้ 

    รูปแบบ list แบบไม่มีลำดับ

    <UL>

        <LH> หัวข้อ </LH>

        <LI> ข้อมูล 1 </LI>

        <LI> ข้อมูล 2 </LI>

    </UL>


    2.list แบบมีลำดับ 
    เป็น list แบบง่ายดีสุดเหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูลที่ไม่มีลำดับเกี่ยวข้อง โดยมีรูปแบบดังนี้ 

    รูปแบบ list แบบมีลำดับ

    <OL>

        <LH> หัวข้อ </LH>

        <LI> ข้อมูล 1 </LI>

        <LI> ข้อมูล 2 </LI>

    </OL>


    3.การใส่สัญลักษณ์ให้กับ list
    การใส่สัญลักษณ์ให้กับ list เราจะเห็นสัญลักษณ์หน้า list อยู่แล้วซึ่งสัญลักษณ์ตัวนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยใช้ Attibuet คำสั่ง type มีรายละเอียดดังนี้ 

    สัญลักษณ์ที่ใช้กับแบบไม่มีลำดับ

TYPEสัญลักษณ์
discวงกลมทึบ
circleวงกลมโปร่งใส
squareสี่เหลี่ยมทึบ


    สัญลักษณ์ที่ใช้กับแบบมีลำดับ

TYPEสัญลักษณ์
Aเรียงแบบ A,B,C
aเรียงแบบ a,b,c
Iเรียงแบบเลขโรมัน I,II,III
iเรียงแบบเลขโรมัน i,ii,iii


    4.การใช้ list ซ้อน list
    ในตัวอย่างจะเป็นการทำ list ซ้อน list ซึ่ง html จะเปลี่ยนสัญลักษณ์ให้อัตโนมัติ 

    5.list แบบจำกัดความ
    Definition list เป็น list ที่ใช้กับการให้คำจำกัดความ ดังตัวอย่าง

    list เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการแสดงข้อมูลเป็นชุดๆ ซึ่งจะสะดวกและ อ่านข้อมูลได้ง่าย เป็นทางเลือกทางหนึ่งที่ดีในการใช้แสดงบทความ 

การสร้างแบบฟอร์ม

HTML

    เว็บไซต์นั้นต่างจากเอกสารธรรมดา ตรงที่สามารถตอบโต้กับผู้ใช้งานได้ เช่นการใช้ search (ค้นหา) ในเว็บไซต์ hellomyweb.com ช่องรับค่าของ search นั้นก็คือแบบฟอร์มใน html นั่นเอง

    เมื่อได้รับค่าจากแบบฟอร์ม search แล้วที่ฝั่ง server จะนำไปประมวลผลต่อโดยจะมีโปรแกรม (CGI Program) ที่ใช้สำหรับประมวลผล CGI Program จะเขียนโดยใช้ภาษา PHP , ASP , Python และอื่นๆอีกมากมาย CGI Program ที่เราเขียนไว้จะรับค่าจาก search แล้วนำไปประมวลผลหาบทความที่ใกล้เคียงกับค่าที่รับไป 

    ในบทความนี้เราจะมาศึกษาในเรื่องฟอร์ม ของ HTML แต่จะไม่ลงลึกไปถึงการเขียน CGI Program ซึ่งหาท่านสนใจ CGI Program ก็ให้หาอ่านจากหัวข้อของ PHP ในเว็บไซต์ของเราได้ 

ลองสร้าง form ดู

     รูปแบบของ form 

<form>

    ชนิดของค่าที่รับเช่น text , password

</form>


ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.แบบฟอร์มรับค่าตัวอักษร
    ในตัวอย่างเป็นการเขียน Text form ผู้ใช้งานสามารถกรอกข้อมูลที่เป็นตัวอักษรลงไปได้ จะสังเกตุว่า ใน input tag จะมี Attibute name อยู่ซึ่งเราจะใช้ในการอ้างอิงเมื่อเขียน CGI Program เราสามารถกำหนดขนาดของ text form ได้โดย ใช้ Attibute คำสั่ง size="ขนาดที่ต้องการ" 

    2.แบบฟอร์มรับค่า password 
    ในตัวอย่างเป็นการเขียน Password form เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลลงไปในฟอร์มจะแสดงสัญลักษณ์ " ? " เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น password ที่เรากรอก

    3.ratio form 
    ratio form เป็นฟอร์มที่ให้เลือกผลลัพธ์เพียงค่าเดียวเท่านั้น

    4.Checkboxes form 
    Checkboxes เป็นฟอร์มที่ให้เลือกผลลัพธ์ได้หลายค่า

    5.สร้างปุ่มยืนยันรับค่า 
    สังเกตุที่ search เป็นปุ่ม ปุ่มหนึ่งที่ใช้ในการยืนยันว่าเราพิมพ์ข้อมูลเสร็จแล้วหรือเลือกเสร็จแล้วเราต้องการให้ส่งค่านี้ไปให้ CGI program ประมวลผล ปุ่มยืนยันจะใช้ในทุกฟอร์มของ html ซึ่งการส่งค่าไปประมวลผลจะมีด้วยการ 2 method คือ get , post ซึ่งเราจะพูดกันในหัวข้อของ PHP 

    6.drop down box 
    drop down เมนูในการเลือกข้อมูลแบบหนึ่ง ที่ให้คุณเลือกข้อมูลได้ข้อมูลเดียว เหมาะกับการใช้กับข้อมูลที่มากๆ เช่น กรอกข้อมูลที่อยู่ โดยใช้ dropdown ให้เลือกจังหวัด

    7.text area 
    text area เหมาะสำหรับแบบฟอร์มที่ต้องกรอกข้อมูลจำนวนมากๆเช่น ที่อยู่ 

    8. Fieldset 
    fieldset จะสร้างขอบให้ข้อมูลของคุณและมีหัวข้อให้ทำให้อ่าข้อมูลได้ง่ายขึ้น 

การใส่รูปในเว็บเพจ

HTML

รูปนั้นสามารถบรรยายรายละเอียดได้ดีกว่าคำพูดมาก ดังนั้นแทบทุกเว็บไซต์จึงมีรูปอยู่เกือบทุกเว็บไซต์ ในบทความนี้เราจะมาใส่รูปในเว็บเพจกัน

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.ลองใส่รูปในเว็บเพจ
    จะเห็นได้ว่าการใส่รูปที่ขยับได้ หรือขยับไม่ได้นั้น code ไม่แตกต่างกัน แต่จะแตกต่างกันที่ตัวรูปเองว่าขยับได้หรือไม่ 

ฟอร์ตแมตของไฟต์ที่เราจะเห็นกันบ่อยๆ

1.JPEG เหมาะสำหรับภาพถ่าย หรือภาพที่มีความละเอียดและจำนวนสีมากๆ

2.GIF เหมาะสำหรับภาพลายเส้น เช่นการ์ตูน ตัวหนังสือ หรือภาพที่ต้องการสร้างให้ภาพโปร่งใส หรือ ทำให้เคลื่อนไหวได้

3.PNG เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการให้โปร่งแสง ขนาดไฟล์จะใหญ่กว่า JPEG แต่คุณภาพจะดีกว่า JPEG

สำหรับการเปลี่ยนฟอร์ตแมตของภาพเราจะใช้โปรแกรมเช่น Photoshop ในการเปลี่ยนซึ่งเรื่องนี้เราจะไปศึกษากันที่หัวข้อ Photoshop กันต่อไป ซึ่งฟอร์ตแมตของภาพจะมีผลมากต่อการทำเว็บไซต์ของเรา 

    2.ใส่รูปจาก directory ที่ต่างกัน
    จะเห็นว่าการใส่รูปจาก directory ที่ต่างกันใช้หลักการเดียวกับการเขียน hyperlink นั่นเอง ซึ่งหากไม่เข้าใจสามารถกลับไปดูได้ที่หัวข้อ เชื่อมต่อเอกสารของเราด้วย hyperlink 

    3.The Alt Attribute 
    รูปแบบ <img src="boat.gif" alt="Big Boat"> เราใช้ alt Attribute เพื่อแสดงผลในกรณีที่ไม่สามารถโหลดรูปได้ และแสดงผลเมื่อมีเมาส์ไปอยู่ด้านบน นอกจากนั้นยังไม่ผลต่อการคนหาของ google อีกด้วย 

    4.การใส่รูปพื้นหลัง
    รูปพื้นหลังจะถูกแสดงผลซ้ำกันเองโดยเราแม้ว่ารูปจะรูปจะมีขนาดเล็ก หรือสั้นเพียงใดก็ตาม 

    5.การจัดตำแหน่งของรูปในตัวอักษร
    จะเป็นการจัดตำแหน่งของรูปในตัวอักษร เมื่อเรามีตัวอักษรกับภาพอยู่ด้วยกัน เราจะใช้ Align Attribute เพื่อจัดตำแหน่งของภาพ 

    6.การจัดตำแหน่งของรูปให้ชิดซ้าย หรือขวา
    จะเป็นการจัดรูปของเราให้ชิดซ้ายหรือชิดขวา เมื่อแสดงผล 

    7.การใช้คำสั่งกำหนดขนาดของรูป
    การใส่ขนาดของรูปนั้นเราจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ถ้าเราใส่ขนาด การแสดงผลของรูปก็จะเปลี่ยนแปลงตามที่เราใส่ แต่ขนาดของรูปจริงๆจะไม่เปลี่ยนแปลง

    8.ทำให้รูปภาพเป็น hyperlink
    การทำให้รูปภาพเป็น hyperlink ก็ให้ใส่คำสั่งของ hyperlink ครอบคำสั่งแสดงภาพ เท่านั้นเอง 

    9.คำสั่งที่ใช้ในการแสดงพิกัดในภาพ
    เป็นการแสดงพิกัดที่อยู่ในภาพโดยจะแสดงที่ status bar เป็นพิกัดค่า X,Y ตามจุดที่เมาส์ของเราอยู่ด้านบน โดยจุด 0,0 จะอยู่ที่ด้ายซ้ายบนของภาพ

    10.สร้าง hyperlink ด้วยพิกัดในรูปภาพ
ในหัวข้อที่แล้วเราทราบพิกัดจุดของภาพแล้ว ในหัวข้อนี้จะใช้พิกัดจุดในภาพมาสร้าง hyperlink ซึ่งในตัวอย่างจะเห็นว่ามี hyperlink ในรูปภาพอยู่ 2 ที่คือ keyboard , mouse 

การใส่ภาพพื้นหลัง ให้เว็บเพจ

HTML

ภาพพื้นหลังเป็นสิ่งที่ทำให้เว็บของเราดูสวยงามแต่ถ้าเราใช้ภาพพื้นหลังที่ไม่ดี อาจส่งผลเสียกับเว็บเราได้ ในบทความนี้จะเป็นตัวอย่างของการใส่พื้นหลังที่ดี และไม่ดี 

ลองพิมพ์ดูง่ายนิดเดียว คลิกที่หัวข้อเพื่อทดลองพิมพ์

    1.สีพื้นหลังที่ดี
    ตัวอย่างของภาพพื้นหลังที่ดี สีของตัวหนังสือและพื้นหลังแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจน และสีพื้นหลังเป็นสีที่อ่อนทำให้อ่านแล้วสบายตา

    2.สีพื้นหลังที่ไม่ดี
    ตัวอย่างพื้นหลังที่ไม่ดีเนื่องจากว่าสีพื้นหลัง และตัวหนังสือเป็นสีสว่างเหมือนกัน ทำให้อ่านได้ยาก 

ตัวอย่าง code ที่ใช้กับสีพื้นหลัง 

<body bgcolor="#000000"> กำหนดสีโดยใช้ hexadecimal number

<body bgcolor="rgb(0,0,0)"> กำหนดสีโดยใช้ RGB value

<body bgcolor="black"> กำหนดสีโดยใช้ชื่อของสีเอง


การใช้ภาพพื้นหลัง 

ภาพพื้นหลังเป็นสิ่งที่ทำให้เว็บของเราดูดีขึ้น แต่เราต้องคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้ด้วย 

1.การใส่ภาพพื้นหลังที่ใหญ่มาก จะทำให้เว็บของเราโหลดได้ช้าลง 

2.การใส่ภาพพื้นหลังที่ไม่ดีจะทำให้อ่านข้อความได้ยาก 

3.การใส่ภาพพื้นหลังอาจทำให้สับสนระหว่างภาพที่เราใช้สื่อความหมายกับภาพพื้นหลังได้ 

4.การใส่ภาพพื้นหลังทำให้ตัวอักษรอาจลดความเด่นชัดลงไป

code ที่ใช้ใส่ภาพพื้นหลัง 

<body background="logo.jpt">

<body background="http://www.hellomyweb.com/images/logo.jpg">


เราใส่ code อ้างอิงที่อยู่ของภาพ ได้แบบเดียวกับที่เราเขียนอ้างอิง hyperlink 

    3.การใส่ภาพพื้นหลังที่ดี
    ตัวอย่างการใส่ภาพพื้นหลังที่ดี ทำให้เว็บไซต์ดูน่าสนใจขึ้น

    4.การใส่ภาพพื้นหลังที่ไม่ดี
    ตัวอย่างการใส่ภาพพื้นหลังที่ไม่ดีทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพลดลงไป

การใช้งานสีในเว็บเพจ

สีสันนั้นอยู่คู่กับเว็บเพจอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะทำให้เว็บดูสวยงามน่าสนใจแล้ว ยังช่วยให้การอธิบายข้อความดีขึ้นอีก ในบทความนี้เราจะมีดูการใช้งานสีกัน

รายชื่อสีแบบ HEX value และ แบบ RGB value
ColorColor HEXColor RGB
#000000rgb(0,0,0)
#FF0000rgb(255,0,0)
#00FF00rgb(0,255,0)
#0000FFrgb(0,0,255)
#FFFF00rgb(255,255,0)
#00FFFFrgb(0,255,255)
#FF00FFrgb(255,0,255)
#C0C0C0rgb(192,192,192)
#FFFFFFrgb(255,255,255)

ตัวอย่าง code สีในแบบ hex value และแบบ ชื่อของสี

Color NameColor HEXColor
AliceBlue #F0F8FF
AntiqueWhite #FAEBD7
Aqua #00FFFF
Aquamarine #7FFFD4
Azure #F0FFFF
Beige #F5F5DC
Bisque #FFE4C4
Black #000000
BlanchedAlmond #FFEBCD
Blue #0000FF
BlueViolet #8A2BE2
Brown #A52A2A
BurlyWood #DEB887
CadetBlue #5F9EA0
Chartreuse #7FFF00
Chocolate #D2691E
Coral #FF7F50
CornflowerBlue #6495ED
Cornsilk #FFF8DC
Crimson #DC143C
Cyan #00FFFF
DarkBlue #00008B
DarkCyan #008B8B
DarkGoldenRod #B8860B
DarkGray #A9A9A9
DarkGrey #A9A9A9
DarkGreen #006400
DarkKhaki #BDB76B
DarkMagenta #8B008B
DarkOliveGreen #556B2F
Darkorange #FF8C00
DarkOrchid #9932CC
DarkRed #8B0000
DarkSalmon #E9967A
DarkSeaGreen #8FBC8F
DarkSlateBlue #483D8B
DarkSlateGray #2F4F4F
DarkSlateGrey #2F4F4F
DarkTurquoise #00CED1
DarkViolet #9400D3
DeepPink #FF1493
DeepSkyBlue #00BFFF
DimGray #696969
DimGrey #696969
DodgerBlue #1E90FF
FireBrick #B22222
FloralWhite #FFFAF0
ForestGreen #228B22
Fuchsia #FF00FF
Gainsboro #DCDCDC
GhostWhite #F8F8FF
Gold #FFD700
GoldenRod #DAA520
Gray #808080
Grey #808080
Green #008000
GreenYellow #ADFF2F
HoneyDew #F0FFF0
HotPink #FF69B4
IndianRed  #CD5C5C
Indigo  #4B0082
Ivory #FFFFF0
Khaki #F0E68C
Lavender #E6E6FA
LavenderBlush #FFF0F5
LawnGreen #7CFC00
LemonChiffon #FFFACD
LightBlue #ADD8E6
LightCoral #F08080
LightCyan #E0FFFF
LightGoldenRodYellow #FAFAD2
LightGray #D3D3D3
LightGrey #D3D3D3
LightGreen #90EE90
LightPink #FFB6C1
LightSalmon #FFA07A
LightSeaGreen #20B2AA
LightSkyBlue #87CEFA
LightSlateGray #778899
LightSlateGrey #778899
LightSteelBlue #B0C4DE
LightYellow #FFFFE0
Lime #00FF00
LimeGreen #32CD32
Linen #FAF0E6
Magenta #FF00FF
Maroon #800000
MediumAquaMarine #66CDAA
MediumBlue #0000CD
MediumOrchid #BA55D3
MediumPurple #9370D8
MediumSeaGreen #3CB371
MediumSlateBlue #7B68EE
MediumSpringGreen #00FA9A
MediumTurquoise #48D1CC
MediumVioletRed #C71585
MidnightBlue #191970
MintCream #F5FFFA
MistyRose #FFE4E1
Moccasin #FFE4B5
NavajoWhite #FFDEAD
Navy #000080
OldLace #FDF5E6
Olive #808000
OliveDrab #6B8E23
Orange #FFA500
OrangeRed #FF4500
Orchid #DA70D6
PaleGoldenRod #EEE8AA
PaleGreen #98FB98
PaleTurquoise #AFEEEE
PaleVioletRed #D87093
PapayaWhip #FFEFD5
PeachPuff #FFDAB9
Peru #CD853F
Pink #FFC0CB
Plum #DDA0DD
PowderBlue #B0E0E6
Purple #800080
Red #FF0000
RosyBrown #BC8F8F
RoyalBlue #4169E1
SaddleBrown #8B4513
Salmon #FA8072
SandyBrown #F4A460
SeaGreen #2E8B57
SeaShell #FFF5EE
Sienna #A0522D
Silver #C0C0C0
SkyBlue #87CEEB
SlateBlue #6A5ACD
SlateGray #708090
SlateGrey #708090
Snow #FFFAFA
SpringGreen #00FF7F
SteelBlue #4682B4
Tan #D2B48C
Teal #008080
Thistle #D8BFD8
Tomato #FF6347
Turquoise #40E0D0
Violet #EE82EE
Wheat #F5DEB3
White #FFFFFF
WhiteSmoke #F5F5F5
Yellow #FFFF00
YellowGreen #9ACD32